พิพากษากลับคำตัดสินของศาล “เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า” เพื่อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ กรรมาธิการธรรมาภิบาล
และสิ่งเหล่านี้ ก็ได้นำความตายมาสู่ เนติบัณฑิตชาวอังกฤษ
รองนายกรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายของประเทศไทย คือบุคคลที่สั่งให้มีการ เปลี่ยนแปลงผลของคดีความที่มีความเสียหายมูลค่า 3 พันล้านบาท (74ล้านปอนด์) เกี่ยวพันกับนักการเมืองที่ทุจริต
นาย วิษณุ เครืองาม – ชายผู้ซึ่งช่วยให้ทหารเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อทำให้ประชาธิปไตยของประเทศที่กำลังเปราะบางให้อ่อนแอลงอีก – เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วสั่งการให้หัวหน้าผู้พิพากษาศาลภาค 8 ทางภาคใต้ของประเทศไทย กลับคำตัดสินคดีของศาลจังหวัดภูเก็ต
อีกทั้งนักการเมือง หนึ่งในปรึกษาของ นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา และอีกหนึ่งเป็นผู้สนับสนุนของรัฐบาลทหารกึ่งประชาธิปไตย ได้รับการอนุมัติให้เข้าทำการยึดพื้นดินที่มีอาณาบริเวณขนาดใหญ่บนเกาะ ซึ่งกำลังพัฒนาให้เป็นรีสอร์ทระดับโลก เพื่อการพักผ่อนในวันหยุด ที่ใช้ชื่อว่า ปุระวนา รีสอร์ท โดยไม่มีการเสียเงินแม้แต่สลึงเดียว.
ลาภลอยที่ได้มาจากความสูญเสีย หลังจากการตายของผู้ริเริ่มโครงการซึ่งเป็นเนติบัณฑิตชาวอังกฤษ ที่มีชื่อว่า นายสตีเว่น เจมส์ แกรนวิลล์ , โดยร่างของเขาถูก พบอยู่ริมถนนในจังหวัดภูเก็ต มีลักษณะเหมือนถูกตีที่ท้ายทอย 4 จุดด้วยกัน ,หลังจากที่เขาได้ลงนามในสัญญากับนักการเมือง การสืบสวนของตํารวจที่ เป็นไปอย่างล่าช้า ครอบครัวแกรนวิลล์ได้กล่าวว่า เป็นการกระทำเพื่อ ปิดบังอำพรางให้กับผู้กระทำความผิด
นายแกรนวิลล์ ได้รับการรักษาครั้งแรกในป่าตองและโรงพยาบาลวชิระในจังหวัด ภูเก็ต ก่อนที่จะถูกนำตัวกลับไปรักษาตัวที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งภายหลังเขาได้เสียชีวิตลง จากอาการที่ได้รับบาดเจ็บทางสมอง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของโรงพยาบาลทั้งสองแห่ง ต่างมีความเห็นว่า นายแกรนวิลล์มีอาการบาดเจ็บที่ ‘ไม่สอดคล้อง’ กับอุบัติเหตุ อันเกิดจาก รถจักรยานยนต์.
ข้อสรุปจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยซึ่งรวมถึงอดีตข้าราชการตำรวจสองคนและนักการเมืองฝ่ายค้าน – ตามข้อมูลที่รวบรวมได้ในภาคใต้ของประเทศไทย – ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงคำตัดสินเป็นการสมคบคิดกันเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองในฝากฝั่งของรัฐบาล ทั้งการโทรศัพท์ของนายวิษณุฯ ก็เป็นการสร้างหลักฐานสำคัญที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
เมื่อครั้งที่ นายวิษณุฯ ถูกตั้งคำถามในครั้งแรก เมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ เค้าให้ความเห็นว่า มันเป็นแค่ ‘ประเด็นทางการเมือง’ที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว แต่ ‘หลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้’ ซี่งเป็นหลักฐานของการทุจริตในศาล ที่มันจะย้อนกลับเข้าไปหาตัวเค้าเอง
สำหรับผู้พิพากษาที่ได้ทำเอกสารผิดพลาดในขณะที่เร่งรีบเพื่อเปลี่ยนคำพิพากษาในนาทีสุดท้าย ในการฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย 3 พันล้านบาทกับเจ้าหน้าที่ทางการ เป็นหนี่งในการช่วยเหลือเพื่อนำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นอย่างที่สุด และเป็นการแสดงออกที่น่าตกใจ ถึงการขาดความแยกแยะระหว่างระบบยุติธรรมกับรัฐ
หลังจากที่หน่วยงานของรัฐ – ซึ่งได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี กองปราบปราม และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพิกเฉยที่จะทำการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว,พลตำรวจ เอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าปราบ กำนันเป๊าะ เจ้าพ่อภาคตะวันออก) รวมทั้ง พลตำรวจตรีวิษณุ ม่วงแพรสี ได้ยื่นเรื่อง ร้องเรียนอย่างเป็นทางการผ่านทางพรรคเสรีรวมไทยไปยังรัฐบาลปัจจุบัน
สิ่งนี้ทำให้รองนายกรัฐมนตรีวิษณุถูกขนานนามในที่ประชุมพรรคว่าเป็นผู้สร้างความอยุติธรรมของศาล ซึ่งเขาถูกซักถามและยอมรับออกมา
หัวข้อนี้ เป็นญัตติหนึ่งของฝ่ายพรรคฝ่ายค้าน ได้ถูกส่งไปยังรัฐบาลเพื่อใช้ในการ ประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ แต่รัฐบาลไม่ได้ถูก ซักถามในญัตตินี้ หลังจาก ฝ่ายรัฐบาลได้ตัดการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้สั้นลง ทำให้ เกิดการประท้วง โดยการเดินออกจากที่ประชุม เพิ่มเติมเหตุแห่งการคว่ำบาตรซึ่งมีอยู่มากแต่ก่อนแล้ว ดังนั้นเรื่องอื้อฉาวนี้ก็ ยังคงไม่ได้รับการเปิดเผยต่อไป
นอกนั้นแล้ว ก็ยังได้มีการยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ประธานศาลฎีกา นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ กล่าวถึงการกระทำที่ไม่สุจริตผิดกฎหมายและไม่เป็นธรรม ใน กระบวนการยุติธรรม แต่เรื่องราวก็ยังคงเงียบอยู่
เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีการกล่าวถึงและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในประเทศไทย เกี่ยวกับการเปลี่ยนคำพิพากษา นับตั้งแต่ผู้พิพากษา นายคณากร เพียรชนะ หยิบปืน ขึ้นมายิงเพื่อสังหารตัวเอง หลังจากถูกสั่งให้เปลี่ยนคำพิพากษาตัดสิน ในคดีที่เขา เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์
นายคณากร เพียรชนะ : ไทยพีบีเอส
ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ข้าราชการเกษียณอายุ พลตำรวจเอก ก่อเกียรติ์ วงศ์วรชาติ อดีตรองผู้บัญชาการการตำรวจแห่งชาติ ณ กรุงเทพมหานคร และอดีตผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคดีนี้มากว่าหกปีและได้พูดคุยกับ พยานที่สำคัญรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ของโรงพยาบาล ที่ นายสตีเว่น เจมส์ แกรนวิลล์ เข้าทำการรักษา ซึ่งเขายอมรับว่าหัวหน้าตำรวจท้องถิ่นรับว่าตนได้ทำ “ผิดพลาดครั้งใหญ่” ในการทำคดีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของนายสดีเวนฯ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์กล่าวว่า บาดแผลจากการบาดเจ็บของ นายสตีเว่นฯ ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตทาง รถจักรยานยนต์
พลตำรวจเอกก่อเกียรติ ผู้ซึ่งติดต่อโดยตรงกับครอบครัวของนายสตีเว่นฯ ที่ประเทศ อังกฤษ ได้บอกกับชาวต่างชาติที่เป็นเหยื่อ ว่า
“ดูเหมือนว่าในขณะนี้ มีเพียงรัฐมนตรีในรัฐบาลของคุณเท่านั้นที่จะช่วยได้”
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยได้ปฏิเสธที่จะถอดถอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธรรมนัส พรหมเผ่า หลังจากได้ถูก เปิดเผยว่าเป็นผู้ลักลอบค้าเฮโรอีน และถูกศาลในประเทศออสเตรเลียพิพากษาตัดสิน ให้จำคุก ได้ถูกส่งตัวกลับ หลังจากจำคุกอยู่ในเรือนจำ 4 ปี ของโทษจำคุกทั้งหมด หกปี ขณะที่ชาวต่างชาติหากถูกจับดำเนินคดี ในประเทศไทยด้วยข้อหาลักษณะที่ คล้ายกัน คือ 3.2 กิโลกรัม – จะได้รับการพิพากษาลงโทษถึงจำคุกตลอดชีวิต
และความจริงที่ว่า นายวิษณุ เครืองาม ปกป้องชื่อเสียงรัฐมนตรีช่วยว่าการ พรรค พวกของเขา อย่างน่าจดจำ: ‘คุณสมบัติของ นายธรรมนัส ไม่มีปัญหาสำหรับที่นั่งใน คณะรัฐมนตรี เพราะเขาไม่ได้ถูกดำเนินคดีโดยศาลแห่งประเทศไทย ‘ แสดงให้เห็น ว่าเรื่องนี้ก็ยังดำเนินต่อไป
ถึงแม้ว่า รัฐบาลประเทศอังกฤษ ได้เข้ามาสนใจในเรื่องราวของครอบครัวแกรนวิลล์ ได้มีการหารือถึงระดับรัฐมนตรี แต่ก็ไม่แสดงความสนใจ ว่าจะเข้าไปก้าวก่าย กระบวนการพิจารณาคดีของประเทศอื่น .
แม่ของนายสตีเว่นฯ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ ได้แสดงออกถึงความ ‘ไม่เต็มใจที่จะ ยอมรับความจริง’ และ ‘เพิกเฉยโดยไม่ทำอะไรเลย’
นักการเมือง
นักการเมืองที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ก็คือ ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษาคนหนึ่งของ สำนักนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีพี่ชายคือ ‘ปุย’ พีระศักดิ์ ศรีรุ่งสุข จินดาอนุกรรมาธิการ ในคณะอนุกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการกระทำการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ และนายประพล มิลินทจินดาผู้เคยเป็นที่ปรึกษาของรอง นายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม อีกทั้งยังเป็นหุ้นส่วนในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ร่วมกันอีกด้วย
ทีมในฝัน เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ นายสตีเว่นฯ ในขณะเขาที่กำลัง ประสบปัญหาอย่าง ร้ายแรงหลังจากนักลงทุนรายใหญ่ชาวสเปนใน บริษัท ปุระวนา จำกัด ได้ถอนตัว ออกมา
โครงการหยุดชะงักลง ผู้ร่วมลงทุนคนอื่นๆ ต่างก็บอกว่า ‘ฉ้อโกง’ เงินกู้จากธนาคาร จำนวน 400 ล้านบาท และการขายผลประโยชน์ของเขาใน โรงแรมภูเก็ตยอชต์คลับ ให้แก่ Conde Nast ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘โรงแรมรีสอร์ทที่ดีที่สุดในโลก’ ก็ไม่เพียงพอที่จะ ช่วยให้เค้าหลุดพ้นจากปัญหาไปได้
สตีเว่นฯ ได้รับการติดต่อโดยตรงจากประพล ผู้ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของสองพี่น้อง ปุ๋ย และอ๊อด และจากนั้นบันทึกความเข้าใจ (MOU) ก็ได้ถูกร่างขึ้น สองพี่น้องจะทำ การลงทุนในโครงการเพื่อก่อสร้างรีสอร์ท โดยจะทำการนำเงินมาลงทุนทั้งหมดที่ทำ ให้โครงการแล้วเสร็จได้ และนายสตีเว่นฯ จะได้รับการปันส่วนสำหรับกำไร และ เงินเดือนในอัตราเดือนละ 250,000 บาท เนติบัณฑิตชาวอังกฤษ จะต้องโอนหุ้น จำนวน 580,000 หุ้น แต่มีการยืนยันข้อตกลงที่ว่า หากสองพี่น้องไม่ทำการลงทุนตาม กรอบเวลาที่กำหนด จะต้องโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวคืนให้กับนายสตีเว่นฯ หุ้น จำนวนดังกล่าวได้โอนให้กับนายประพล และสองพี่น้องได้ให้ พนักงานผู้หญิงอีก สองคน ถือหุ้นแทน
ตอนนี้อ้อยเข้าปากช้างแล้ว หากหากนายสตีเว่น ระมัดระวัง ละเอียดรอบคอบ และ ตรวจสอบเพื่อนนักธุรกิจใหม่ของเขา ให้มากกว่านี้ เขาคงไม่จรดปลายปากกาลงบน กระดาษ
เมื่อถึงกำหนดเส้นตายในการลงทุนกำลังจะเกิดขึ้น เค้าก็เริ่มที่จะกังวล แม่ของเขา นางซาแมนต้า ซิมมอนดส์ อายุ 76 ปี และอาศัยอยู่ที่ นอร์ท คอร์นเวล ได้อธิบายถึง ลักษณะถึงความรู้สึกของเขาที่เกิดขึ้น “ผมได้ทำสัญญากับกลุ่มผู้มีอิทธิพลไปแล้ว” เขาได้บอกกับเธอ
เขาจะถูกพบอยู่ข้างถนนในจังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 23 มีนาคม 2556 เขาได้บอกหัวหน้าฝ่ายการตลาดของเขา นายวินเซ้น แมคโอเว่น อายุ 51 ปี ชาวอังกฤษ จากเมืองบอร์นมัทท์ ว่า “ผมจะออกจากประเทศนี้ หรือไม่งั้นผมจะจบลงด้วยการตาย”
ครอบครัวของเขาเชื่อว่าความจริงแล้วไม่มีการลงทุนที่จะเกิดขึ้นตามสัญญา ในคืนวันที่เกิดอุบัติเหตุ ช่วงกลางดึกเขาได้พบกับหัวหน้าของ ไวเปอร์ กรุ๊ป ผู้ซึ่งได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้รักษาความปลอดภัยของ ปุระวนา และยังเป็นผู้ซึ่งคอยดูแล รายงานเหตุการณ์ในท้องถิ่นให้กับปุ๋ย
นายวินเซ้น แมคโอเว่น เล่าว่า ได้รับของมูลต่างๆ มาจากโทรศัพท์มือถือของนายสตีเว่นฯ ซึ่งต่อมาโรงพยาบาลได้ส่งมอบคืนให้กับแฟนสาวชาวไทยของเขา
นายประพล มิลินทจินดา
หากนายสตีเว่นฯ ได้ศึกษาค้นคว้าความเป็นมาของเพื่อนนักธุรกิจคนใหม่ของเขา เขาจะทราบว่าไม่เพียงแต่นายประพล จะเคยเป็นที่ปรึกษา นายวิษณุ ตั้งแต่ครั้ง นายวิษณุเป็น รองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร เขาก็ยังเป็นหุ้นส่วนร่วมกับนายวิษณุ ในบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ เออีซี ที่มีเรื่องอื้อฉาวในกรณี การสังหารเพื่อหวังผลประโยชน์ เสี่ยชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจเศรษฐีชาวไทย อีกด้วย
ในกรณีดังกล่าว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ มีส่วนเกี่ยวข้องในการฉ้อโกงและสังหาร เสี่ยชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 2558 เสี่ยชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ถูกตีจนตายแล้วนำศพไปไว้ในรถ ซึ่งวิ่งออกนอกถนนไปชนกับต้นไม้
หลังจากนั้น นายบรรยิน ก็ถูกกล่าวหาว่าโอนหุ้นมูลค่า 300 ล้านบาทให้กับหญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับ บริษัท เออีซี บริษัทที่ซึ่งเคยใช้เป็นช่องทางในการหาผลประโยชน์ของนักการเมือง และที่ซึ่ง นายวิษณุ เป็นประธานบริษัท และกรรมการผู้จัดการ ก็คือนายประพล
ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ – อ๊อด
ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ โดยกรณีเช่นเดียวกันกับ นักค้าเฮโลอิน ชาวไทย นายธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีคำสั่งห้ามเข้าประเทศออสเตรเลีย เว้นเสียแต่ นายณัฏฐชัยจะกลับมาพร้อมกับเงินจำนวนมหาศาล
ณัฏฐชัย “อ๊อด” ศรีรุ่งสุขพินิจ อยู่ในชุดข้าราชการ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์
ในเดือนสิงหาคม 2555 มีคำพิพากษาตัดสิน ศาลฎีกา ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ในกรณี การสั่งจ่ายเช็คเด้ง ที่ สตาร์คาสิโน ในเมืองซิดนีย์ เป็นจำนวนเงิน 4.98 ล้านเหรียญ ออสเตรเลีย
นี่มันเป็นสั่งจ่ายเช็คที่มีจำนวนมากที่สุด และเป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน 22.9 ล้านเหรียญออสเตรเลีย กลุ่มของเขาเป็นกลุ่มของนักพนันชาวไทย จีน ที่รู้จักกันดีในนาม “ปลาวาฬ” ได้จ่ายเช็ดเด้งในการแพ้พนัน รายชื่อดังต่อไปนี้ ก๊อก วา ที , ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ , สมบูรณ์ ศรีสมบัติธนกิจ ,ภัทสิตา กิรติพัฒนานันท์ , ไกรฤกษ์ คช , กัว ลาน , ชิน เมง ปัน , วิษณุ เวียงนาค , พิมชนา วัฒนากุลโยธิน และ เลียง ชง ยับ
–ปุ๋ย
เป็นเรื่องที่น่าขำ – พี่ชายของอ๊อด คือ นายพีระศักด์ ศรีรุ่งสุขจินดา เป็นสมาชิก ของ
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการกระทำการทุจริตและประพฤติมิ ชอบ
มันเป็นเรื่องที่น่าขำ ก็เพราะไม่เพียงแต่เขาจะเป็นผู้ดูแลเรื่องตำแหน่งต่างๆของ ตำรวจทางภาคใต้ของไทยแล้ว ยังเล่นการพนัน เที่ยวผู้หญิง ในช่วงของการพักผ่อน ในวันหยุด และหนึ่งในบริษัทของเขา คือ “แอบโซลูท พาวเวอร์ เวิล์ด” ก็ยังกระทำ ผิดกฎหมายในเรื่องการนำเข้าขยะมีพิษ จากประเทศจีน ซึ่งเป็นการทำลายประเทศ บ้านเกิดอย่างชัดเจน
หลักฐานในการกระทำความผิดที่เพิ่งเกิดขึ้น
หากคดีในประเทศไทยจะถูกแทรกแซง ผู้กระทำความผิดควรจะทำการแทรกแซงก่อนที่คดีจะ เริ่ม หรือควรกระทำในช่วงแรกของคดี เนื่องจากไม่ได้มีการบันทึกคำเบิกความในกระบวนพิจารณาของศาล มีเพียงการบันทึกสรุปคำเบิกความลงในเครื่องบันทึกเสียง ซึ่งกระทำได้โดยผู้พิพากษาในศาล ชั้นต้น หรือแม้แต่ข้ามหลักฐานอันสำคัญในคดี หาก ทนายความไม่ได้คัดค้าน หรือแจ้งเตือน ในการตัดสินของศาลนั้นผู้พิพากษาจะต้อง อ้างถึงหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ศาลได้พิมพ์ออกมา โดยถอดมาจากเครื่องบันทึกเสียง
แต่มีการรีบเร่งให้กลับคำพิพากษา ในคดีแพ่งดำที่ 1367/2559 ซึ่งผู้พิพากษาในศาล จังหวัดภูเก็ตขณะนั้นคือ , นายโสธร เจริญพานิช และนางสาววัชรา จันทรวรา ผู้ซึ่ง ได้รับคำสั่งให้ตัดสินในวันนั้น ทำให้นายสตีเว่น และครอบครัวของเขา ต้องตกอยู่ใน สภาวะที่ลำบาก
ดูเหมือนว่าไม่มีเวลาที่จะเขียนคำพิพากษา ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 หน้า หากต้อง อ่านในศาล คงต้องใช้เวลาอ่านอย่างต่ำ 1 ชั่วโมง
ในความเป็นจริง คำสั่งศาลในวันที่ 29 ตุลาคม เมื่อปีที่แล้ว ออกมาช้ามาก ทั้งที่ได้มีการพิมพ์ “รายงานกระบวนพิจารณาของศาล” เตรียมไว้แล้ว เป็นการตัดสินใจที่ขัดแย้งกัน – มีการตรวจสอบก่อนว่า ในวันดังกล่าวมีโจทก์ จำเลย ทนายความ ฝ่ายใดมาอยู่ในศาลบ้าง
ในบันทึกของพวกเขา ประพล ได้ให้ทนายความมาแทน แต่ในส่วนของ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งได้อ้างว่าเป็นตัวแทนของ “อ๊อด” และ “นาท” ไม่ได้มาด้วยตนเอง อีกทั้งไม่มีแม้ตัวแทนมาศาล
แทนที่จะเขียนรายงานกระบวนพิจารณาขึ้นมาใหม่ แต่ผู้พิพากษากลับใช้วิธีการขีดฆ่าข้อความเดิมในรายงานกระบวนพิจารณา (ดูด้านล่าง) เพื่อกลับคำตัดสิน – จากนั้นบอกแก่โจทก์ว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยผู้พิพากษากลับปล่อยให้ทนายโจทก์เห็นรายงานกระบวนพิจารณาด้วยความผิดผลาดหรือจงใจ
บนบรรทัดที่โดนขีดฆ่ามีใจความว่า ให้จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน
พวกเขาไม่สามารถอ่านคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ตามกระบวนพิจารณาที่เหมาะสม เช่นเดียวกันกับรายงานกระบวนพิจารณาคดีได้ เป็นเพราะมีเพียงคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์เท่านั้น ที่ระบุเหตุผลที่สมบูรณ์ และชอบด้วยกฎหมายว่าทำไมฝ่ายนักการเมืองแพ้คดีนี้
ผู้พิพากษาโสธร ได้พูดแบบไม่เต็มเสียงว่าไม่สมควรนำคดีนี้มาสู่ศาล (แม้ว่าจะได้การประทับรับฟ้องเป็นคดีความในศาลแล้วเป็นเวลาถึง 2 ปี) จากนั้นก็ได้ติดตามความเห็นของเขาจากรายการกระบวนพิจารณาคดี ที่ได้มีการแก้ไขข้อความสำคัญ
ในขณะนั้น ผู้พิพากษาวัชรา จันทรวรา ได้ลุกขึ้นและเดินออกไปจากศาล ซึ่งในการโยกย้ายประจำปีที่เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือน ผู้พิพากษาวัชราได้ขอย้ายไปยังกรุงเทพฯและผู้พิพากษาโสธรขอย้ายไปที่สุราษฎร์ธานี
สภาพในปัจจุบันของโครงการปุระวนา รีสอร์ท หรืออีกชื่อหนึ่ง ว่า “อาณาจักรที่สาบสูญ” ที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ มีที่ตั้งอยู่บนดินแดนแห่งการ พักผ่อนในวันหยุด ของเมืองไทย เกาะภูเก็ต – ปัจจุบันนี้กลายสภาพเป็นป่าดงดิบ
การสอบสวนของตำรวจ
ตำรวจไทยได้เขียนรายงานถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนายสตีเว่นฯ ว่ามาจากอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ นายสตีเว่นไม่มีโอกาสได้บอกกล่าว และหลังจากที่ได้รับการรักษาฉุกเฉินเบื้องต้นจากโรงพยาบาลวชิระ เขาก็ถูกนำตัวกลับไปรักษายังประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ทำการผ่าตัดบริเวณกระโหลกหลายต่อหลายครั้งก่อนที่เค้าจะเสียชีวิตลง อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติของชาวต่างชาติในประเทศไทยและสำหรับตำรวจแล้วมันก็เป็นเพียงงานเอกสารที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งผู้กระทำความผิดหรือผู้เสียหาย
ในทางกลับกันหลักฐานเพียงอย่างเดียวที่สนับสนุนว่าได้มีการเกิดอุบัติเหตุ ก็คือร่างของนายสตีเว่น และรถจักรยานยนต์ในที่เกิดเหตุ สภาพของนายสตีเว่น ไม่มีบาดแผล และการแตกหักของกระดูกตามร่างกายในส่วนอื่นๆ มีเพียงแต่บาดแผลตรงด้านหลังของศรีษะเท่านั้น ความเสียหายของเสื้อผ้าแทบจะไม่ปรากฏให้เห็น แม้ร่องรอยของบาดแผล หรือ สิ่งสกปรกใดๆ ก็ไม่ปรากฏอยู่บนร่างของชายผิวขาวด้วยซ้ำไป
และเจ้าหน้าที่ของทั้งโรงพยาบาลป่าตอง สถานที่ซึ่งทำการรักษาเขาในครั้งแรก โดยรถพยาบาลของมูลนิธิได้นำตัวเขามาส่งด้วยข้อมูลเบื้องต้นว่า เป็นผู้ได้รับการบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ รวมถึงโรงพยาบาลวชิระ ที่เขาถูกย้ายตัวมารักษา ได้กล่าวว่า สิ่งที่มากระทบที่ศรีษะของนายสตีเว่นฯ มันไม่สอดคล้องกับสาเหตุจากการที่เขา “รถจักรยานล้ม” – ซึ่งเป็นสาเหตุที่อยู่ในรายงานของตำรวจ
มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น จนกระทั่งปี 2562 ที่ตำรวจไทยในนามของ ศปอส. ตร. (ศูนย์ ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ) ได้ทำการสอบสวน ขั้นสูงสุด หลังจากได้มีการรายงานข่าว เกี่ยวกับการร้องเรียนของนายวินเซ้น ในสื่อสารมวลชนของประเทศไทย
แต่การสอบสวนก็ถูกส่งกลับไปยังตำรวจในท้องที่ นำนายวินเซ้นไปยังสถานที่เกิดเหตุ – บนถนนที่ทอดยาวทางด้านใต้ของตำบลกะรน ในจังหวัดภูเก็ต
ทางครอบครัว เชื่อว่านายสตีเว่นฯ ถูกทำร้ายมาจากที่อื่น และนำทั้งร่างของเขาและจักรยานยนต์ มาทิ้งไว้ ณ จุดเกิดเหตุ แต่ในปี 2559 ก็ไม่สามารถดำเนินการทางนิติเวชใดๆได้ ผู้ประสบอุบัติเหตุก็ได้เสียชีวิตลง และสิ่งต่างๆในบริเวณจุดเกิดเหตุก็ได้สูญหายไป จากการผ่านฤดูฝนมาถึง 5 ปี
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลวชิระ เพื่อพูดคุยซักถามกับ นางพยาบาลเมธาวี มณีศรี ซึ่งเป็นหัวหน้าพยาบาล และทีมบุคลากรทางการแพทย์ พวกเขาไม่ได้ติดต่อกับอดีตแฟนสาวของนายสตีเว่นฯ ซึ่งเธอเก็บโทรศัพท์มือถือของนายสตีเว่น ที่บันทึกการติดต่อของเค้าในช่วงเวลากลางดึกไว้ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถค้นเจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาอีกด้วย
นายวินเซ้น กล่าวว่า, นางพยาบาลเมธาวี ผู้ซึ่งทำงานในฝ่ายบริหารของโรงพยาบาล ได้บันทึกอ้างถึงวันที่เกิดอุบัติเหตุ เพราะว่าไม่เพียงแต่แพทย์ สรุปว่าอาการบาดเจ็บของนายสตีเว่น ไม่สอดคล้องกับการเกิดอุบัติเหตุทางถนน แต่มันมีการแทรกแซงอย่างมากตั้งแต่เช้าตรู่จากกลุ่มของผู้มีอิทธิพล
เมธาวี กล่าวว่า, “ปุ๋ย” ได้กลับมาขอรายงานทางการแพทย์ของนายสตีเว่น โดยให้เหตุผลว่าเค้าจะเป็นผู้ชำระค่ารักษาพยาบาลเอง ซึ่งทางโรงพยาบาลก็ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจำนวน 74,000 บาท จากบัตรเครดิตของเขา แต่ก็ปฏิเสธที่จะคัดถ่ายเอกสารรายงานการแพทย์ใดๆให้ แต่เขาก็ยังคงพยายาม
และจากนั้น”อ๊อด”ก็ได้โทรศัพท์ไปยังโรงพยาบาล เพื่อขอรายงานทางการแพทย์อีกครั้งหนึ่ง โดยอ้างว่า “ปุ๋ย” พี่ชายของเขาเป็นบุคคลที่สำคัญมากในรัฐบาล
เมธาวีกล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด 28 ปี ในเรื่องที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ตัวเธอเองไม่เคยเห็นอาการบาดเจ็บแบบนี้มาก่อนเลย และเห็นด้วยความความเห็นของคณะแพทย์ จากนั้นนายวินเซ้น ได้ให้เธอติดต่อไปยังนายตำรวจที่มีชื่อว่า สถาพร เป็นบุคคลที่ซึ่งเธอได้เคยติดต่อในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ เขาได้โยกย้ายไปยังจังหวัดอุดรธานีเสียแล้ว แต่ก็ยังจดจำกรณีนี้ได้ดี ได้มีการพูดคุยถึงชื่อของ “ปุ๋ย” และ “อ๊อด”ในหลายครั้ง ว่าได้เข้าไปถือครองที่ดินของนายสตีเว่น แกรนวิลล์ ดูเหมือนว่าจะเป็นโครงการที่ใหญ่มากในจังหวัดภูเก็ต
สถาพรอ้างว่า เข้าไม่ใช่ผู้ดูแลในเรื่องนี้ เป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่เวรของสถานีตำรวจภูธรกะรน ในวันที่เกิดอุบัติเหตุ ได้ลงบันทึกประจำวัน ส่วนที่ปรากฎชื่อของเขาอยู่ในรายงานบันทึกประจำวัน ก็เพราะเขาเป็นผู้ที่กรอกรายละเอียดในบันทึกประจำวันนั่นเอง หลังจากนั้นเขาได้ถูกสั่งให้ไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลป่าตอง เพื่อให้แพทย์กรอกข้อมูลในส่วนของรายงานของแทพย์ลงบนแบบฟอร์มอุบัติเหตุ
สถาพร อ้างว่า แพทย์ปฏิเสธที่จะลงความเห็นว่าเกิดจากอุบัติเหตุลงในรายงานทางการแพทย์ ซึ่งเขาก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่มันก็เป็นระเบียบของทางราชการตำรวจ และของทางโรงพยาบาล เขาจึงได้เขียนความเห็นแย้งของเขา ว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ บันทึกลงบนด้านหลังของรายงานดังกล่าว และเพิ่มความเห็นว่าสมควรที่จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป จากนั้นเมธาวี ก็ได้ส่งบันทึกของเธอและสำเนารายงานของตำรวจ ซึ่งสถาพรได้ส่งมาให้เธอ นั้นให้กับผม ในบันทึก ปรากฏอย่างชัดเจนว่า มีลายเซ็นของสถาพร พร้อมทั้งลายเซ้นของตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนอื่นของสถานีตำรวจภูธรกะรนอยู่ด้วย แต่ตรงด้านหลังบันทึกของเมธาวีนั้นว่างเปล่า ไม่ได้มีการถ่ายเอกสารบันทึกทางการแพทย์ทางด้านหลังติดมาด้วย
นายวินเซ้น แมคโอเว่น
เมธาวี กล่าวว่า
“ฉันไม่สามารถที่จะให้ความเห็นต่อนักข่าวได้ แต่หากตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ติดต่อมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันก็สามารถให้ความร่วมมือ ทั้งหมดนี้ฉันบอกได้เลยว่า รายงานทางการแพทย์ที่พวกเราได้มอบให้แก่ตำรวจไปแล้วนั้น มันไม่สามารถที่จะแก้ไขได้”
สถานทูตอังกฤษ ประจำ กรุงเทพมหานคร และสำนักงานต่างประเทศและสหราชอาณาจักร ประจำกรุงลอนดอน มีรายงานของตำรวจราว 50 หน้า และจดหมายร้องเรียนจำนวนหลายฉบับ จาก ซาแมนต้า ซิมมอนส์ด, เทรเวอร์ ผู้เป็นสามีของเธอ และวินเซ้น แมคโอเว่น เพื่อผลักดันกรณีของนายสตีเว่น ในประเทศไทย
แต่มันก็ไม่มีคำรับสารภาพ และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ หรือพยานหลักฐานใดๆ ในที่เกิดเหตุ ที่ชัดเจนจนสามารถนำมาฟ้องร้องดำเนินคดีได้ต่อไป
ในขณะนี้ นายวินเซ้น แมคโอเว่น ต้องปฏิบัติตามนโยบายจำกัดบริเวณจากสถานการณ์ไวรัสโควิด อยู่ที่หัวหิน หนังสือเดินทางของเขาถูกยึดไว้โดยศาลจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากนายประพละกำลังเฟ้องกลับนายวินเซ้น
ทนายของนายประพล บอกกับทนายของผมว่า ผมจะไม่ได้รับหนังสือเดินทางคืน นอกเสียจากว่า จะไม่ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาล และศาลได้แจ้งมายังทนายของผมว่า จะต้องนำเงินจำนวน กว่า 3 ล้านบาท มาวางเพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ตอนนี้ผมมีเงินติดตัวอยู่เพียง 4,800 บาท แต่ผมจะชนะในท้ายที่สุด